ตลาดหุ้นลุกเป็นไฟทั้งที่เป็นช่วงสุดสัปดาห์ (ตลาดปิด) หลังมีข่าวว่า ‘อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น JMART โดน Margin Call หรือถูกเรียกหลักประกันบัญชี Margin ซึ่งถ้าเอาหลักประกัน หรือในที่นี้ก็คือเงินมาเติมไม่ได้ ก็จะถูกบังคับขายหุ้น (Force Sell) ในที่สุด
ข่าว หลังมีข่าวออกมา หลายคนก็ไม่อยากจะเชื่อว่าซีอีโอของบริษัทหลักแสนล้าน จะกู้เงินโบรกเกอร์มาเทรดหุ้นแล้วโดน Margin Call และที่ทำให้นักลงทุนเป็นกังวลเพิ่ม คือการลาออกของผู้บริหารระดับสูงในเครือในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน สำหรับคำชี้แจงของบริษัทบอกว่า การขายหุ้นของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ (อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา และยุวดี พงษ์อัชฌา) จำนวน 54 ล้านหุ้น เป็นการขายให้กับนักลงทุนสถาบันทั้งหมด และไม่มีผลกระทบต่อการบริหารงานหรือโครงสร้างการจัดการของบริษัท ซึ่งเป็นคำชี้แจงตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ. แต่ที่ราคาหุ้นยังปรับตัวลงต่อเนื่อง เพราะความกังวลว่านักลงทุนสถาบัน หรือกองทุนที่รับซื้อหุ้น อาจนำหุ้นออกมาขาย นอกจากนี้ กำไรของ JMART และบริษัทในเครืองวดล่าสุด (ไตรมาส 4 ปี 2565 และทั้งปี 2565) ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ก็เป็นอีกแรงกดดัน ล่าสุด นักวิเคราะห์ทยอยปรับลดคาดการณ์กำไรของกลุ่ม JMART โดยบริษัทหลักทรัพย์เอเชีย พลัส จำกัด
ลดคาดการณ์กำไร JMART ปี 2566 และปี 2567 ลงจากเดิม 21% และ 36% เหลือ 1,438 ล้านบาท และ 1,702 ล้านบาท ตามลำดับ รวมถึงลดราคาเป้าหมายปีนี้จาก 55.00 บาทต่อหุ้น เหลือ 43.00 บาทต่อหุ้น ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน)
อยู่ระหว่างทบทวนประมาณการกำไรของ บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) และ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ลงจากเดิม 23% และ 24% ตามลำดับ หากย้อนดูผลประกอบการในอดีตของ JMART พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2561-2565) JMART เคยขาดทุน 277.06 ล้านบาทในปี 2561 ก่อนจะพลิกขึ้นมากำไรในปีถัดๆ มาที่ 533.85 ล้านบาท 797.87 ล้านบาท 2,467.59 ล้านบาท และ 1,794.96 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น JMART ล่าสุด (17 ก.พ.) ปิดตลาดที่ 27.25 บาทต่อหุ้น ลดลง 2.25 บาท หรือ 7.63% จากวันก่อนหน้า ข่าวการเงิน ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1,756.07 ล้านบาท โดยราคาหุ้น JMART ปรับตัวลงอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือน จากที่เคยเทรดกันในระดับ 40 บาทต่อหุ้น มาวันนี้เหลือเพียง 27 บาทต่อหุ้น คิดเป็นการปรับตัวลงกว่า 33% หากนับจากจุดสูงสุด (All Time High) ที่ 64.00 บาทต่อหุ้นในช่วงเดือน เม.ย.ปีก่อน คนที่ถือ JMART ด้วยต้นทุนวันนั้นจะขาดทุนทันทีเกือบ 60% จังหวะนี้ นักลงทุนบางกลุ่มก็มองเป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้นราคาถูก แต่ก็มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่กลัวว่า การเข้าซื้อ JMART ในช่วงนี้อาจเป็นการรับมีดต่อจากนักลงทุนรายอื่น ด้วยสถานการณ์ที่ยังไม่นิ่ง ซึ่งก็ต้องมาติดตามกันว่าเช้านี้ ราคาหุ้น JMART จะพอดีดตัวกลับได้หรือไม่ และนักวิเคราะห์ในตลาดจะปรับคำแนะนำกันอย่างไรบ้าง